ที่เกี่ยวข้องกับเหรียญ
เครื่องคำนวณราคา
ประวัติราคา
การคาดการณ์ราคา
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
คู่มือการซื้อเหรียญ
หมวดหมู่คริปโต
เครื่องคำนวณกำไร
ที่เกี่ยวข้องกับการเทรด
ซื้อ/ขาย
การฝาก/การถอน
Spot
Margin
USDT-M Futures
Coin-M Futures
บอทเทรด
Copy Trading
Earn
Pre-Market
Terra Classic (LUNC) คืออะไร
ข้อมูลพื้นฐาน Terra Classic
Terra Classic คืออะไร
Terra Classic หรือชื่อแรกเริ่ม Terra (LUNA) คือโปรโตคอลบล็อกเชนที่เปิดตัวในเดือนมกราคม 2018 และต่อมาในเดือนเมษายน 2019 จึงได้เปิดตัว Mainnet ขึ้น Terra มีจุดมุ่งหมายที่จะใช้ Stablecoin ที่ตรึงมูลค่าไว้กับสกุลเงิน Fiat เพื่อส่งเสริมระบบการชำระเงินที่มีความเสถียรด้านราคาทั่วโลก ตามข้อมูล Whitepaper ของ Terra ระบุว่าโปรเจกต์นี้ตั้งเป้าที่จะผสมผสานคุณสมบัติต้านทานต่อการถูกเซนเซอร์ (Censorship-Resistant) ของ Bitcoin (BTC) เข้ากับความเสถียรของราคาและการนำไปใช้งานอย่างกว้างขวางของสกุลเงิน Fiat นอกจากนั้น ยังนำเสนอ Stablecoin ที่ตรึงมูลค่าไว้กับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ, วอนเกาหลีใต้, ทูกริกมองโกเลีย และสกุลเงินอื่นๆ อีกมากมายจากสิทธิพิเศษถอนเงินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund's Special Drawing Rights) ด้วย
อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤษภาคม 2022 จุดเปลี่ยนสำคัญก็ได้เกิดขึ้น เมื่อ Stablecoin “UST” ที่ตรึงมูลค่าไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐล่มสลายลง นำไปสู่วิกฤตภายในระบบนิเวศ Terra ด้วยความคล้ายคลึงกับการแฮ็ก DAO ของ Ethereum ในปี 2017 CEO “Do Kwon” จึงได้เปรียบเทียบการล่มสลายครั้งนี้ว่าเป็นช่วงจังหวะที่ต้องมีการประเมินและการพัฒนาการใหม่เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีการเปิดตัวบล็อกต้นกำเนิด (Genesis Block) ของ Chain ใหม่ภายใต้ชื่อ Terra (LUNA) และ Terra Chain ดั้งเดิมก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Terra Classic ในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ โทเค็นดั้งเดิมและ Stablecoin ทั้งหมดล้วนได้รับการเปลี่ยนโฉมใหม่เช่นกัน โดยโทเค็น LUNA ดั้งเดิมได้กลายเป็น LUNA Classic (LUNC) และ Stablecoin เช่น UST, KRT และ EUT ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น USTC, KRTC และ EUTC ตามลำดับ
คำว่า “Classic” ใน Terra Classic อาจเป็นสัญลักษณ์แห่งการยอมรับการแยกตัวของ Ethereum/Ethereum Classic ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในวงการคริปโทเคอร์เรนซีทั้งหมด ทั้งนี้ Terra Classic ก็ได้รับการยอมรับและดูแลรักษาโดยชุมชนผู้สนับสนุนที่ทุ่มเท ในลักษณะเช่นเดียวกับที่ Ethereum Classic ยังดำเนินการ Ethereum Chain ดั้งเดิมต่อไป ซึ่งเหตุการณ์นี้เองได้ทำหน้าที่เป็นข้อพิสูจน์ถึงความทนทานและความสามารถในการปรับตัวที่มีอยู่ในระบบกระจายศูนย์ได้เป็นอย่างดี
แหล่งข้อมูล
เอกสารทางการ: https://docs.terra.money/
เว็บไซต์ทางการ: https://www.terra.money/
Terra Classic ทำงานอย่างไร
ในระบบนิเวศของ Terra Classic นั้น LUNC ทำหน้าที่เป็นโทเค็นสำรองสำหรับ Stablecoin “USTC” ที่เพิ่งได้รับการเปลี่ยนชื่อใหม่ ความสัมพันธ์นี้หมายความว่าการเพิ่มมูลค่าใดๆ ใน LUNC อาจช่วยให้ USTC กลับมาตรึงมูลค่ากับเงินดอลลาร์สหรัฐได้อีกครั้ง นอกจากนี้ การพัฒนาที่สำคัญในระบบนิเวศของ Terra Classic คือการยื่นข้อเสนอ “Tax Burn” ที่ 1.2% โดยกลุ่มที่รู้จักกันในชื่อ Terra Rebels ซึ่งมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูโทเค็น LUNC ข้อเสนอนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะกำจัด 1.2% ของธุรกรรม LUNC แต่ละรายการออกจากอุปทานหมุนเวียน ซึ่งจะสร้างแรงกดดันให้เกิดภาวะเงินฝืดในโทเค็นขึ้นมาได้
สิ่งที่น่าสนใจคือ ภาษีดังกล่าวจะไม่ถูกนำไปใช้ในการดำเนินการ Swap ระหว่าง USTC และ LUNC ช่วยให้เกิดความคล่องตัวและความสะดวกในการเทรดสินทรัพย์เหล่านี้มากขึ้น กลไกใหม่นี้เองได้รับความสนใจอย่างมากและได้รับการผสานรวมเข้ากับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบรวมศูนย์ (Centralized Exchange) หลายแห่ง
กลยุทธ์ Tax Burn ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ลดอุปทานหมุนเวียนของ LUNC เท่านั้น แต่ยังมีบทบาทในการรักษาเสถียรภาพของ Stablecoin “USTC” อีกด้วย กล่าวคือ กลยุทธ์นี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ USTC บรรลุและรักษาการตรึงมูลค่าที่ต้องการเอาไว้ได้ โดยอาศัยความสามารถในการส่งอิทธิพลต่อกลไกอุปสงค์และอุปทาน ความพยายามดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า Terra Classic กำลังสร้างสรรค์กลไกใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อการันตีความเสถียร โดยได้รับการสนับสนุนจากแนวทางที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนนั่นเอง
Terra Classic Token (LUNC) คืออะไร
LUNC หรือที่รู้จักกันในชื่อ Luna Classic เป็นโทเค็นที่เหลือจากโปรเจกต์ Terra Luna ดั้งเดิม ซึ่งได้รับการเปลี่ยนชื่อใหม่หลังจากการล่มสลายของระบบนิเวศ UST/Luna และการเริ่มต้นของ Terra Chain ใหม่ โทเค็น LUNC ทำหน้าที่เป็นโทเค็น ERC-20 โดยมีอุปทานหมุนเวียนอยู่ที่ 5.8 ล้านล้านโทเค็น
การล่มสลายของ Terra
ระบบนิเวศ Luna-Terra ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นดาวที่ส่องประกายในจักรวาลคริปโต กลับต้องประสบกับการล่มสลายครั้งใหญ่ซึ่งเปรียบได้กับเหตุการณ์ ล่มสลายของ Mt. Gox สุดอื้อฉาวในปี 2014 ในช่วงจุดสูงสุดของแพลตฟอร์ม สินทรัพย์ดั้งเดิมของบล็อกเชน Terra อย่าง LUNA เคยถูกนำไปเทรดที่ราคา $116 แต่ในเหตุการณ์พลิกผันอันน่าตกใจนี้ ราคาของโทเค็นกลับร่วงลงเหลือต่ำกว่า $1 ต่อโทเค็น ถือเป็นมูลค่ากว่า 40,000 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียวที่ได้หายวับไป ความล้มเหลวของ Algorithmic Stablecoin “UST” ของ Terra ทำให้เกิด “เกลียวมรณะ” ที่ส่งผลให้โทเค็น LUNA สูญเสียมูลค่าไปมากถึง 99% เมื่อ Stablecoin ที่ควรจะตรึงมูลค่าไว้กับดอลลาร์สหรัฐตลอดเวลา กลับมีราคาลดลงเหลือเพียงเซนต์เดียวเท่านั้น นักลงทุนจึงสูญเสียความเชื่อมั่นในสินทรัพย์และนำไปสู่การเทขายจำนวนมาก
ปัญหาหลักที่นำไปสู่การล่มสลายของ Terra คือการขาดความโปร่งใสและข้อบกพร่องโดยธรรมชาติของ Algorithmic Stablecoin “UST” ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า โปรเจกต์นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของ Stablecoin ที่แข็งแกร่งพอจะเทียบเท่าได้กับระบบนิเวศ DApp ของ Ethereum และทรงพลังมากพอที่จะไปแข่งขันกับสกุลเงิน Fiat ได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม โมเดลแบบ Algorithmic ของ UST ยังคงอยู่ภายใต้เงื่อนไขของหลักประกัน จึงอาจได้รับผลกระทบจากแรงกดดันของตลาดได้ จุดพลิกผันเกิดขึ้นเมื่อ UST มูลค่าประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์ถูก Unstake ออกจาก Anchor Protocol และขายออกไป ส่งผลให้ราคา UST ลดลงเหลือเพียง $0.91 ในทันที เหตุการณ์นี้ผนวกเข้ากับภาวะตลาดล่มรุนแรงในวงกว้าง ได้นำไปสู่การหลุดตรึงมูลค่าของ UST จากมูลค่า $1 ที่ควรจะเป็น เมื่อมูลค่าทั้งหมดของ UST ไม่สามารถนำไป Redeem เป็น LUNA ที่มูลค่ากำลังลดลงอย่างรวดเร็วได้ สุดท้ายแล้วความศรัทธาที่นักลงทุนมีต่อทั้งสองสินทรัพย์จึงหมดลง
ความพินาศดังกล่าวได้จุดประกายให้เกิดเป้าหมายครั้งใหม่เกี่ยวกับความต้องการระบบที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และเป้าหมายนั้นก็ได้รับความสนใจจากผู้กำหนดนโยบายและหน่วยงานด้านการกำกับดูแล ซึ่งขณะนี้มีแรงจูงใจมากกว่าเดิมที่จะนำเสถียรภาพและการคุ้มครองผู้บริโภคมาสู่ตลาดคริปโต หลายคนเชื่อว่าการล่มสลายของ Terra เป็นดั่งเครื่องเตือนใจสำหรับอุตสาหกรรมคริปโต โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นด้านความโปร่งใส, การวางหลักประกันมากกว่าจำนวนสินทรัพย์ (Over-Collateralization) และโมเดลทางเศรษฐศาสตร์ที่แข็งแกร่งเพื่อต้านทานต่อสภาวะตลาดที่รุนแรง
ความผิดพลาดของ Luna-Terra เป็นอุทาหรณ์เตือนใจที่ชัดเจนถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับวงการคริปโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Algorithmic Stablecoin เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้กระตุ้นให้เหล่าผู้นำในอุตสาหกรรมให้คำมั่นสัญญาว่าจะเรียนรู้จากความล้มเหลว แต่ถึงอย่างนั้นเหตุการณ์ดังกล่าวก็มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบในระยะยาว ไม่ใช่แค่สำหรับ Terra และนักลงทุนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมคริปโตโดยรวมด้วยเช่นเดียวกัน
บทสรุป
สรุปได้ว่า Terra Classic คือเวอร์ชันรีแบรนด์ของ Terra (LUNA) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาจากวิกฤตการณ์ที่ทำให้ “UST” Stablecoin ต้นกำเนิดต้องพังทลายลง ด้วยฟีเจอร์ใหม่ เช่น Tax Burn 1.2% โปรเจกต์นี้มีเป้าหมายที่จะเริ่มต้นใหม่พร้อมด้วยความเสถียรมากกว่าเดิม อย่างไรก็ดี ความล้มเหลวของ Stablecoin ดังกล่าวยังทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจให้กับอุตสาหกรรมคริปโต โดยเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของโมเดลทางเศรษฐศาสตร์ที่แข็งแกร่งและความโปร่งใสของการดำเนินงาน นอกจากนี้ แม้ว่าจะมีความท้าทายในอดีตมากมายเพียงใด Terra Classic ก็ยังสามารถเก็บเอาคุณสมบัติของความทนทานและความสามารถในการปรับตัวของระบบกระจายศูนย์เอาไว้ได้ดังเดิม
บทความที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับ Terra Classic
อุปทานและเศรษฐศาสตร์ของโทเค็น LUNC
ลิงก์
โอกาสในการพัฒนาและมูลค่าในอนาคตของ LUNC เป็นเช่นไร
มูลค่าตลาดของ LUNC ปัจจุบันอยู่ที่ $550.70M และอันดับในตลาดอยู่ที่ #131 มูลค่าของ LUNC ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากตลาด เมื่อตลาดกระทิงมาถึง มูลค่าตลาดของ LUNC ก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ยิ่งไปกว่านั้น หาก LUNC สามารถมีบทบาทมากขึ้นได้ในแอปพลิเคชันที่ใช้งานได้จริง เช่น Terra Classic Builder ใช้ประโยชน์จากศักยภาพของ LUNC ได้อย่างเต็มที่ จับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับธุรกิจมากขึ้น และเพิ่มฐานผู้ใช้ มูลค่าในระยะยาวของ LUNC ก็จะยกระดับขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ